เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑ เม.ย. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาเรามองทางโลก เห็นไหม การไร้เดียงสา การสะอาดผ่องใสนี่ดีมากเลย เด็กนี่ไร้เดียงสา น่ารักน่าเมตตามาก การไร้เดียงสานะ แล้วเวลาโตมาในโลก เห็นไหม ในโลกนี้โหดร้ายมาก เพราะในสังคมมีการเอารัดเอาเปรียบกัน โหดร้ายมากเลย แล้วเด็กมันผ้าขาว แล้วกว่ามันจะโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ แล้วมันต้องไปเผชิญกับโลก โลกมันมีการเอารัดเอาเปรียบกัน นี่โลกจากโลกภายนอกนะ การไร้เดียงสามันเป็นความสะอาดบริสุทธิ์ แล้วเวลาคนซื่อ คนสะอาด ไปอยู่ในโลกเขานี่ มันอยู่ที่บุญที่กุศลด้วย ถ้ามีบุญมีกุศลนะ ดูสิ เวลาคนซื่อ คนทำกตัญญูกตเวทีสังคม มันจะมีคนช่วยเหลือคนเจือจาน เห็นไหม

แล้วเราเหมือนกัน เวลาเราทำงานทางโลกเขา เราไปเจอหมู่คณะที่ดี เราไปเจอคนที่ดี เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ถึงมงคล ๓๘ ประการ “อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา” เราจะไม่คบคนพาล เราจะคบบัณฑิต แล้วในพระไตรปิฎกนะ คบบัณฑิตที่ยอดบัณฑิต คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าใครคบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะพาไปดีหมดเลย พ้นจากกิเลสไปได้นะ

ในสมัยพุทธกาล เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปบิณฑบาต มันมี ๒ คนตายาย เป็นทุคตะเข็ญใจ เดินขอทานอยู่ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยิ้มนะ ยิ้ม... พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ้ม มันมีอะไร เพราะมันสะกิดใจองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอานนท์เห็นแล้วพระอานนท์ก็เก็บไว้ก่อน พอตอนเย็นอบรมพระสงฆ์ พระอานนท์เลยถาม

“ที่ตอนเช้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ้ม ยิ้มเพราะอะไร?”

“เห็นไหม เห็น ๒ คนตายายนั่นไหม”

“เห็นครับ”

“๒ คนตายายนี่นะ ถ้าเมื่อก่อนเจอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างน้อยจะได้เป็นพระอนาคา”

แต่ปัจจุบันนี้ ๒ คนตายายเป็นยาจกเข็ญใจเพราะอะไร? เพราะเขาเป็นเศรษฐีนะ แล้วเขาโดนโกง โดนคนใช้โกงจนหมดเนื้อหมดตัวเลย แล้วก็เล่นการพนันจนหมดเนื้อหมดตัว กลับมาเป็นขอทาน เห็นไหม จะบอกว่า ขณะที่พบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเขาเป็นคหบดีอยู่ จิตใจเขาจะรื่นเริง จิตใจเขาจะเปิดกว้าง เวลาเขาฟังธรรมขึ้นไป เขาจะได้ประโยชน์ของเขา

แต่ในปัจจุบันนี้เขาก็เจอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกัน แต่เขาเป็นขอทาน เป็นทุคตะเข็ญใจ จิตใจมันเศร้าหมอง ขณะจิตใจเศร้าหมอง พบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเดินผ่านหน้าไปเลย แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ถ้าเทศนาว่าการไป มันก็ฟังแล้วไม่เข้าใจ” เห็นไหม

ถ้าเป็นการไร้เดียงสามันสะอาดบริสุทธิ์ เราป้อนสิ่งใดไป เขาจะซับหมดเลย แต่ถ้าเป็นสังคม พอเราพูดออกไป มันต้องตรองก่อนว่า เขามาหลอกเราไหม เราจะเชื่อเขาได้ไหม ดูสิ เราหมดเนื้อหมดตัวมานี่ ก็เพราะเราโดนเขาฉ้อโกงมา เห็นไหม แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมาเทศนาว่าการให้สละทานอีก เราจะเอาอะไรให้สละทาน เพราะเราไม่มีอะไรจะสละแล้ว

เวลาโลกคิด เขาคิดกันอย่างนั้น สละทำไมจะสละไม่ได้ เห็นเขาทำบุญกุศลนี่ เราอนุโมทนาไปกับเขา การทำบุญกุศล เห็นไหม ให้ทานร้อยหนพันหน ไม่เท่ากับถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง การถือศีลบริสุทธิ์ร้อยหนพันหนไม่เท่ากับเกิดสมาธิขึ้นหนหนึ่ง สมาธิร้อยหนพันหนไม่เท่าเกิดปัญญาขึ้นมาหนหนึ่ง เกิดปัญญา เห็นไหม

แล้วปัญญาเกิดจากไหนล่ะ เกิดจากการปฏิบัติบูชา การปฏิบัติบูชามันต้องมีทรัพย์สมบัติอะไรไหม เรามีร่างกายมีจิตใจของเราขึ้นมาอยู่แล้ว ปฏิบัติเมื่อไหร่ก็ได้ การประพฤติปฏิบัติสำคัญที่สุดเลย เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน เห็นไหม “อานนท์ เธอบอกเขาเลย...” เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน ทุกคนจะมาเคารพศพไง ถือดอกไม้ธูปเทียนมาเต็มไปหมดเลย “อานนท์ บอกเขานะ นี่เป็นอามิสบูชา เคารพกันด้วยดอกไม้ธูปเทียน ให้เคารพด้วยการประพฤติปฏิบัติ ให้ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเถิด”

เพราะการปฏิบัติบูชาก็เหมือนเราทำหน้าที่การงาน เราทำงานขึ้นมาแล้วนี่ ทำผิดทำถูก ถ้าทำถูกขึ้นมาก็จะมีผลสำเร็จขึ้นมา ถ้าทำผิดขึ้นมา มันก็เป็นประสบการณ์ขึ้นมา ถ้าคนไม่ได้ทำอะไรเลย เห็นไหม อ้อนวอนเอา ขอเอา สิ่งนี้เราขอเอา บุญกุศลก็ขอเอา ขอเอาเพื่อประพฤติปฏิบัติ ขอเอานะ แต่เราสละของเรา นี่มันสละขึ้นมา เห็นไหม

แต่ถ้าเราไม่มีของเรา เราก็อนุโมทนาไปกับเขา แต่ในหัวใจมันกระด้าง มันเห็นคนอื่นทำความดี มันกระด้างในหัวใจของมัน มันไม่สะอาด มันไม่ไร้เดียงสา มันมีกิเลสต่อต้าน มันมีกิเลสครอบงำหัวใจมัน ครอบงำหัวใจนะ ถ้าครอบงำหัวใจ เราจะไม่เห็นอะไรเป็นประโยชน์เลย แต่ถ้าเราไร้เดียงสา มันจะเป็นประโยชน์ไปหมดเลย เพราะมันสะอาด มันบริสุทธิ์ มันจะมองโลกในแง่... เด็กมันมองโลกนะ มันมองโลก โลกเป็นของเด็กหมดเลย เด็กนี่ของเขาหมดเลย เห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรามองว่าเป็นประโยชน์กับเรา ถ้าเรามองดี เวลาฟังเทศนาว่าการ ฟังธรรม ถ้ามันสะเทือนหัวใจเรา ถ้าฟังธรรมแล้วธรรมสะกิดใจของเรา คนนั้นมีโอกาสนะ เวลาฟังธรรมขึ้นมา ฟังธรรมขนาดไหน เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เราก็จะไม่ได้อะไรเลย ทั้งๆ ที่เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า...หนึ่ง การสื่อสารมา ถ้าเรามีบุญกุศล มันจะสะกิดใจเรามาก แล้วธรรมที่ออกมาจากใจของผู้ที่มีธรรมในหัวใจ มันออกมาจากใจ

สิ่งที่ออกมาจากใจ มันออกมาด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ มันสะเทือนหัวใจเรามาก นี่จิตถึงจิต เห็นไหม เวลาเราทำบุญกุศล เวลาเราอุทิศส่วนกุศลกันไป ความอุทิศส่วนกุศล อาหารอุทิศส่วนกุศลได้หรือ อาหารเห็นไหม ดูสิ ดูยุ้งข้าว มันเป็นยุ้งๆ เลย มันเป็นประโยชน์กับใคร ถ้าเก็บไว้ไม่มีใครบำรุงรักษามัน มันเสียหายหมดเห็นไหม

แต่ถ้าเราสละทานนั้นออกไป หัวใจของผู้ที่สละออกมา มันเป็นความรู้สึก จิตถึงจิต เห็นไหม ถ้าจิตอันนี้ เพราะโลกนี้ เรื่องของหัวใจเป็นเรื่องนามธรรม เรื่องนามธรรมนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะอะไร? เพราะสุขทุกข์มันอยู่ที่ใจ สุขทุกข์มันอยู่ที่ใจนะ แต่คนนี้ใจหยาบใจละเอียดล่ะ ถ้าใจมันหยาบ มันก็เห็นแต่ของวัตถุเป็นที่พึ่งอาศัย แต่ถ้าใจมันละเอียดขึ้นมา เรามีวัตถุขึ้นมา พึ่งอาศัยได้ไหมล่ะ เราแบกรับภาระ ต้องบำรุงรักษามัน เราเป็นทุกข์กับวัตถุนี้ขนาดไหน

แต่ถ้าเราปล่อยวางหมดเลย สิ่งนี้ปล่อยวางออกไป สละออกจากมือของเรา เป็นของเราทั้งหมดเลย เพราะอะไร? เพราะมันเป็นทิพย์ ทิพย์ที่ตรงไหน? ทิพย์ที่ตรงหัวใจเราไง สิ่งที่เราสละออกไปนี่ เราสละออกไปจากมือนี่ เราเห็นของเราไหม เราโดยสละเอาออกไปไหม ถ้าผู้สละออกไป มันซับมาที่ไหน? มันซับมาที่ใจ ใจนี่มันซับหมดเลย มันเป็นทิพย์ ทิพย์ตรงนี้ไง เพราะทิพย์ตรงนี้ มันก็เป็นสมบัติของมันขึ้นมาตรงนี้

เวลาเกิดตายขึ้นมาในวัฏฏะนี้ มันก็ได้ผลของมัน ถ้าได้ผลของมัน มันเป็นจิตที่ไร้เดียงสา เห็นไหม ไร้เดียงสาเพราะอะไร? เพราะมันเป็นธรรมชาติ แล้วเวลาเราเกิดตายในวัฏฏะ มันก็มีสิ่งนี้มารองรับ บุญกุศลรองรับ คนมีบุญ คนบุญเกิดกับคนบาปเกิดนะ คนบุญเกิดขึ้นมาเห็นไหม ดูสิ ดูครอบครัวเรา คนบุญเกิดสิ โอ้โห...เขามีการรับขวัญ มีต้อนรับกันนะ เวลาคนทุกข์มันเกิดนะ เวลาเกิดขึ้นมานี่ พ่อแม่เอาไปทิ้งถังขยะ เห็นไหม

สิ่งที่บุญเกิด การเกิดนี่บุญพาเกิดบาปพาเกิด มันต้องเกิดตลอดไป แต่บุญมันพาเกิด มันเกิดอีกอย่างหนึ่ง บาปพาเกิดมันเกิดอีกอย่างหนึ่ง เกิดเหมือนกัน เพราะว่าการเกิดนี่มันยับยั้งไม่ได้ จิตนี่มีแรงขับเคลื่อนอยู่ มีกิเลสอยู่ ยับยั้งไม่ได้หรอก มันต้องหมุนไปตามวัฏฏะนี่ มันหมุนไปตลอดของมัน แต่บุญพาเกิดเห็นไหม

แล้วเราปฏิบัติของเรา โลกนี้สะอาดบริสุทธิ์ สะอาดบริสุทธิ์โดยที่มันเป็นบุญกุศล มันเป็นการเอารัดเอาเปรียบกัน มันเป็นสังคมที่เอารัดเอาเปรียบกัน สิ่งนี้มันเป็นเรื่องของโลก ถ้าเรามีบุญกุศล มันจะมีสิ่งนี้มารองรับอีกส่วนหนึ่ง แล้วถ้าเรามีเชาวน์ปัญญา เห็นไหม ปฏิภาณ! เวลาพระอรหันต์สำเร็จแล้ว เห็นไหม นี่อภิญญา ๖ ปฏิสัมภิทา ความเป็นปฏิภาณไหวพริบมันจะเกิดตรงนี้ไง

ถ้าเป็นปฏิภาณไหวพริบเพราะเราฝึกปัญญาของเรามา เรานั่งสมาธิของเรามา เรามีปัญญาของเรามา คนจะมาหลอกลวงเราไม่ได้นะ กระแสโลกเป็นกระแสโลก เพราะเราจะรู้ทันไปหมดเลย เพราะอะไร? เพราะมันออกมาจากใจ สิ่งนี้มันเป็นปฏิภาณไหวพริบ มันสอนกันไม่ได้หรอก มันอยู่ที่การฝึกฝน การฝึกฝน ฝึกฝนที่ไหนล่ะ ฝึกฝนจิตมันฝึกฝนของมันเอง ถ้าปฏิภาณไหวพริบขึ้นมา ย้อนกลับมาเรา กลับมาที่ใจเรา ปฏิภาณไหวพริบจะไปทันคนอื่น การทันคนอื่นเป็นเรื่องของโลกๆ หมดเลย

แต่ถ้าการทันใจเรา ใจเรามันมีพลิกแพลง เห็นไหม สิ่งใดที่มันขับเคลื่อน สิ่งใดที่มันจะกระทำ มันต่อต้านหมด มันต่อต้านถ้าเป็นความดีนะ แต่ถ้าเป็นกิเลส สิ่งที่เอาบาปอกุศลมาใส่หัวใจมันนะ มันต้องการ มันแสวงหา เห็นไหม รูป รส กลิ่น เสียง เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร เป็นบ่วงของมาร แล้วจิตมันติดตรงนี้ เพราะมันเหงา มันว้าเหว่ มันอยู่ของมันเองไม่ได้ มันต้องอาศัยรูป รส กลิ่น เสียง เป็นเครื่องอาศัย

แต่ถ้าเรามีสติเข้ามา สัมปชัญญะเข้ามา มันไล่ต้อนเข้ามา รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร ฟังสิ ถ้ารูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เราก็ถือศีล เห็นไหม ถือพรหมจรรย์ มีมหรสพสมโภชเราจะไม่ไปกับเขา ถ้าเราไม่มีศีล ๘ เห็นไหม ศีล ๕ ศีล ๕ มันเป็นเรื่องของคฤหัสถ์เขา ถ้าคฤหัสถ์เขา เขาอยู่ของเขา ธรรมชาติของมนุษย์ต้องเป็นสภาวะแบบนั้น มันเป็นกามคุณ ๕ กามคุณเพราะให้เผ่าพันธุ์ของมนุษย์ไม่สิ้นสูญสลายไป ถ้าเรามีศีล ๕ สังคมก็อยู่ร่มเย็นเป็นสุข เห็นไหม

แล้วถ้าเรามีศีล ๘ ศีล ๘ มันก็ย้อนกลับมาเรื่องนี้ เรื่องมหรสพต่างๆ เราก็จะไม่ไปยุ่งกับเขา จิตมันก็จะมีหลักเกณฑ์เข้ามา เพราะมันไม่ไปตามบ่วงของมาร ถ้าไม่ไปตามบ่วงของมาร มันก็เป็นอิสระเข้ามา ถ้าอิสระเข้ามา จะทำสมาธิมันก็ง่ายขึ้น เห็นไหม เพราะจิตมันสละเข้ามาแล้ว มันเห็นโทษแล้ว เห็นโทษมันสละเข้ามา ตรงนี้จิตเข้ามานี่ ความไร้เดียงสาจากภายนอก

ความไร้เดียงสาจากภายใน จิตสะอาดบริสุทธิ์ จิตที่มันสะอาดคือว่ามันปล่อยวางเข้ามา มันจะไร้เดียงสา แล้วผู้ใหญ่พาทำนะ พาให้ออกวิปัสสนา พาให้ทำการกระทำของเราขึ้นมา เห็นไหม แล้วมันจะเห็นเลยว่าการชำระกิเลส การต่อสู้กับกิเลส เหมือนกับเข้าไปในสังคมเลย เข้าไปในสังคมนี่ สังคมมันมีเล่ห์มีเหลี่ยมในสังคมมหาศาลเลย ระหว่างกิเลสกับธรรมมันต่อสู้กันในหัวใจนะ มันจะมีการต่อสู้กัน เห็นไหมนี่ สังคมของธรรม

ถ้าธรรมเจริญขึ้นมานี่ โอ้โห... มีความสุขร่มเย็นเป็นสุขมาก ถ้าวันไหนวิปัสสนาไปแล้วจิตมันเสื่อมบ้าง ถอยท้อถอยนะ สังคมกำลังต่อสู้กันด้วยกิเลส กิเลสกำลังครอบงำอยู่นะ คอตกทุกข์จนเข็ญใจขนาดไหน ทุกข์จนเข็ญใจด้วยธรรมนะ มันก็ต้องต่อสู้กันไป ต่อสู้แก้ไขกันไป หาทางออกกันไป ถึงที่สุดนะ ถ้าถึงที่สุด คนมีอำนาจวาสนาจะถึงสิ้นกิเลส ถ้าไม่ถึงที่สุด เห็นไหม การประพฤติปฏิบัติบูชาเรานี่ ปฏิบัติบูชา ปฏิบัติเพื่อเรา การประพฤติปฏิบัติมันจะเป็นจริต เป็นนิสัย

จูฬปันถกเวลาพี่ชายให้สึกๆ ขนาดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก

“มานี่ จูฬปันถก จะไปไหน”

“จะไปสึก เพราะพี่ชายให้สึก”

“มาหาเรานะ เอาผ้าขาวลูบๆๆ” เห็นไหม

ลูบผ้าขาวไป เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเลย เพราะอะไร? เพราะได้สร้างบุญกุศลมา ได้สร้างมาแต่ใช้ไม่เป็น ไม่มีคนพาออกใช้ ถ้ามีคนพาออกใช้ เห็นไหม สังคมนี้พาออกใช้ มันจะสะอาดขึ้นมา มันเข้าไปตรงกับจริตนิสัย มันจะแก้กิเลสของเราได้

ถ้าแก้กิเลสของเราได้ สิ่งนี้ต่างหากมันถึงเป็นความสะอาดจริง การไร้เดียงสามันเหมือนเด็กอ่อน มันเอาตัวรอดไม่ได้ แต่ถ้าเป็นธรรมนะ ไม่ไร้เดียงสา ธรรมนี่รู้เท่าหมดเลย สติพร้อมหมดเลย เข้าใจเรื่องของโลกหมดเลย แล้วถ้าจิตนี้สิ้นสุดกระบวนการของมันแล้ว จะไม่มีการขับเคลื่อนอีก เอวัง